[ 6 เรื่องสำคัญ ] ที่ต้องตรวจเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางไกล

[ 6 เรื่องสำคัญ ] ที่ต้องตรวจเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางไกล

6 จุดตรวจเช็คสภาพรถ ที่ควรเช็คสภาพให้พร้อมที่สุด ยามจำเป็นต้องออกเดินทางไกล ในช่วงปกติ หรือ ยามที่เราลาพักร้อนจากบริษัทที่ทำงาน หรือ เดินทางไกลในช่วงเทศกาลสำคัญๆ เพื่อกลับบ้านพบญาติพี่น้อง หรือ ท่องเที่ยวในที่ที่ที่คุณวางแผนไว้ มาดูว่าต้องดูแลในส่วนไหน

 

1. ตรวจเช็คสภาพรถ = หม้อน้ำรถยนต์

จุดตรวจเช็คสภาพรถ ที่มีความสำคัญที่สุดกว่าจุดไหนๆ ก็คงไม่พ้นเรื่อง "หม้อน้ำรถยนต์" ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าการดูแลหม้อน้ำให้อยู่ในสภาพปกติพร้อมใช้งานนั้นอาจไม่ต้องดูแลบ่อยๆ หรือค่อยมาตรวจสอบเมื่อถึงรอบเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเพราะหม้อน้ำอาจจะเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลให้เครื่องยนต์พังได้

สำหรับวิธีการดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ให้พร้อมใช้งานมีดังนี้

ตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำให้เต็ม และน้ำในหม้อพักให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้ โดยในหม้อพักน้ำห้ามเติมน้ำให้เต็มหม้อเด็ดขาด เพราะจะทำให้น้ำมีการดึงออกจากหม้อน้ำทิ้งไปหมดได้ แนะนำให้อย่างน้อยตรวจสอบสัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าหม้อน้ำเคยมีปัญหามาก่อนแล้ว แนะนำให้ตรวจสอบทุกวัน

เติมน้ำยารักษาหม้อน้ำ หรือ น้ำยาหล่อเย็น (Coolant) ที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยการระบายความร้อนดีกว่าน้ำปกติ, ลดการเกิดตะกรัน หรือ สนิมในหม้อน้ำ และ ลดการระเหยของน้ำได้ ทำให้การทำงานของหม้อน้ำมีประสิทธิภาพกว่าเดิม

ถ้าหากพบว่าต้องเติมน้ำเพิ่มเข้าหม้อน้ำบ่อยครั้ง ควรตรวจสอบหารอยรั่ว โดยดูจากรอยหยดน้ำที่มีสีเดียวกับน้ำยารักษาหม้อน้ำ เมื่อพบแล้วให้นำรถเข้าแก้ไขที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมทันที

 

2. ตรวจสภาพรถ = ผ้าเบรค

เป็นชิ้นส่วนที่เมื่อคุณมีรถสักคัน ใช้ไปสักระยะหนึ่งคุณต้องหันมาให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะอาการ เบรกลึก เบรกไม่อยู่ เป็นสัญญานเตือนว่าคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าเบรกแล้ว เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกมักเกิดเป็นคำถามขึ้นอยู่ในหัวตลอด เพราะคุณต้องการความคุ้มค่าที่สุดยามที่จะต้องเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ หรือ ต้องการอะไร เพื่อรักษาผ้าเบรคที่ใช้อยู่ให้คงทนไปนานๆ

สำหรับวิธีการดูแลรักษาผ้าเบรค-น้่ำมันเบรค ให้พร้อมใช้งานมีดังนี้

ตรวจสภาพผ้าเบรคที่คุณใช้ว่า มีการเสื่อมสภาพลงหรือไม่ เพราะตรงส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่สึกหรอกว่าจุดอื่นๆ เนื่องจากจะเป็นจุดที่เสียดสีทั้ง จานเบรค กับ ฝุ่นละออง ทำให้ความหนาจะลดลงเรื่อยๆ อาจจะถึงขั้นเกิดอาการ "เบรคแตก" ได้ ฉะนั้นแล้ว วิธีที่เช็คง่ายๆ เลย เพียงแค่สังเกตจากเสียงการดึงเบรคมือ ถ้าเกิน 7 แก็ก หรือเบรคมือดั้งเด่กว่าปกติ ให้รีบเปลี่ยนด่วนเลย แต่ถ้าไม่แน่ใจจริงๆ ให้ปรึกษาช่างผู้ชำนาญ นำรถเข้าแก้ไขที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมทันที

 

3. ตรวจสภาพรถ = น้ำมันเบรค

ตรงส่วนนี้จะต่อเนื่องกับตรงส่วน "ผ้าเบรค" หากคุณขับรถไปแล้ว รู้สึกเบรกลึก เบรกไม่อยู่ เป็นสัญญานเตือนว่าคุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแล้ว

สำหรับวิธีการดูแลรักษาน้่ำมันเบรค ให้พร้อมใช้งานมีดังนี้

เติมน้ำมันเบรค ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์สำหรับรถทั่วไป ดังนั้นจึงควรมีไว้ติดบ้านเพื่อเติมเอง ซึ่งมีหลายสูตรหลายยี่ห้อ ควรเลือกให้เหมาะกับรถแต่ละคัน ซึ่งน้ำมันเบรคหนึ่งขวดสามารถใช้ได้หลายครั้งเลยทีเดียว ควรเช็คน้ำมันเบรคทุกๆอาทิตย์ และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทุก 40,000 กิโลเมตร แต่อย่างไรแล้ว เราสามารถดูได้ตรงเกณฑ์น้ำมันเบรค ให้อยู่กึ่งกลางพอดีๆ ระหว่าง Min กับ Max หากน้ำมันเบรคอยู่ต่ำเกินไปให้เติมน้ำมันเบรกลงไป อย่าให้เกินระดับ Max

 

4. ตรวจสภาพรถ = แบตเตอรี่

ตรงจุดๆ นี้ นับว่าเป็นเหมือนหัวใจของรถยนต์เลยก็ว่าได้ เพราะหากจะไปไหน สตาร์ทไม่ติด ดูเลยว่า "ตรงนี้แหละ" เพียงแค่สังเกตอาการ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสตาร์ทติดยาก หรือถึงตามระยะเวลาอายุการใช้งาน ก็เตรียมตัวเปลี่ยนได้เลย ในทุกๆ 2 ปี หรือหากจะจั๊มพ์แบต ก็ทำได้ แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น

สำหรับวิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่ ให้พร้อมใช้งาน

แนะนำให้ใช้แบตเตอรี่แบบแห้ง หากคุณเป็นคนที่มีเวลารักษาน้อย โดยแนะนำให้ลองใช้แบตเตอรี่ที่น่าสนใจ ดังนี้

YUASA Y-Maxx MF เป็นแบตเตอรี่ชนิดที่ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น ตัวแบตเตอรี่ไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับคอยตรวจเช็กระดับน้ำกรดและระดับไฟชาร์จ

FB Gold Series เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่มีเวลาในการบำรุงรักษาน้อย จุดเด่นอยู่ที่ภายในแบตเตอรี่ประกอบด้วยแผ่นกั้นชนิดซองทำจากวัสดุ PE ชนิดพิเศษ ช่วยในการกระจายไฟอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ตะกั่วผสมแคลเซียมทั้งในโครงแผ่นธาตุ (+) และ (-) ทำให้มีคุณสมบัติดีกว่าแบตเตอรี่แบบ HYBRID ตัวแบตเตอรี่ออกแบบให้มีฝาปิด 3 ชั้นเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำกลั่น ทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนจัดได้ดี ทำให้ไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น

BOSCH SM Series แบตเตอรี่ชื่อดังจากเยอรมนี เหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไป ภายในแบตเตอรี่ผลิตด้วยเทคโนโลยีแคลเซียม ที่ช่วยลดการระเหยของน้ำกรดได้เป็นอย่างดี ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน และ BOSCH ยังระบุด้วยว่าแบตเตอรี่รุ่นนี้ช่วยเพิ่มแรงสตาร์ตให้กับรถยนต์มากถึง 15%

BOLIDEN SILVERTECH SMF แบตเตอรี่มาตรฐานยุโรป การันตีคุณภาพด้วยรางวัลแบตเตอรี่ยอดเยี่ยม จาก TM Magazine ในประเทศ Finland ในปี 2006 และ 2009 ผลิตจากกริดผสมโลหะเงินบริสุทธิ์ ซึ่ง BOLIDEN บอกว่าทำให้แบตเตอรี่เดินไฟได้เร็วต่อเนื่องและให้กำลังไฟที่แรงและเสถียรกว่ารุ่นเก่า ยิ่งประเทศไทย นิยมใช้รถจากญี่ปุ่น เป็นส่วนใหญ่ ก็สามารถใช้ยี่ห้อนี้ได้เช่นเดียวกับรถยุโรป

 

5. ตรวจสภาพรถ = น้ำมันเกียร์

ตรงส่วนนี้ จะทำหน้าที่ช่วยลดแรงเสียดทาน ลดการสึกหรอของเกียร์ ทั้งยังช่วยลดเสียงดัง และการสั่นสะเทือนในเรือนเกียร์ได้อีกด้วย พร้อมช่วยชะล้างเศษโลหะจากหน้าฟันเกียร์ที่เกิดจากการสะเทือนและเสียดสีภายใน ช่วยป้องกันสนิมการกัดกร่อนจากชิ้นส่วนภายในเกียร์ ในเมื่อมีการตกตะกอนของน้ำมันเกียร์ ก็ควรมีการแก้ไขบำรุงรักษาทันที ไม่งั้น ระบบเกียร์พังแน่นอน

สำหรับวิธีการดูแลรักษาน้ำมันเกียร์ ให้พร้อมใช้งาน

วัดระดับน้ำมันเกียร์โดยให้ดึงก้านน้ำมันเกียร์ออกมา ใช้ผ้าสะอาด หรือกระดาษทิชชูเช็ดก้านวัดระดับน้ำมัน จากนั้นให้จุ่มลงไปใหม่ แล้วดึงออกมาอีกครั้ง ซึ่งระดับน้ำมันควรอยู่ระหว่างเครื่องหมาย “Full” (เต็ม) และ “Add” (เติม) หรือ “Hot” (ร้อน) และ “Cold” (เย็น)” ถ้าระดับน้ำมันต่ำกว่าเส้น “Add” หรือ “Cold” อาจมีการรั่วซึมในระบบ ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบ

สังเกตจากสีและสภาพของน้ำมันเกียร์ น้ำมันสภาพดีควรมีสีแดง (มีสีชมพูหรือน้ำตาลอ่อนบ้างเป็นบางครั้ง) ไม่มีฟอง ไม่มีกลิ่น แต่ถ้าน้ำมันเกียร์รถยนต์ของคุณมีสภาพสีน่ำตาลเข้มๆ หรือ อ่อนๆ ควรรีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการเปลี่ยนทันที

 

6. ตรวจสภาพรถ = ยางรถยนต์

นับว่าเป็นตัวขับเคลื่อนเลยก็ว่าได้ สำหรับ "ยางรถยนต์" ที่ต้องเตรียมความพร้อมเสมอ และคุณเองไม่ชอบใใจแน่ๆ หากเกิดเหตุ ยางแบน ยางระเบิด ยางแตก ในระหว่างการเดินทาง เงินที่คุณมีต้องไปจมกับเรื่องนี้ คงทำให้การเดินทางกร่อยลงไปเลย

สำหรับวิธีการดูแลรักษายางรถยนต์ ให้พร้อมใช้งาน

ความดันลมยาง

การเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การเดินทางของคุณปลอดภัย ไร้กังวลว่ายางของคุณจะแบนรึเปล่า การเติมลมยางทุกๆ เดือนว่าลมยางอยู่ในระดับที่เหมาะสม จะช่วยให้ยางของคุณมีอายุการใช้ที่ยาวนานอีกด้วย ส่วนนี้สามารถทราบได้จากคู่มือรถยนต์ของคุณเองว่า จะเติมไม่เกินเท่าไหร่ 

เมื่อไร เดือนละครั้งและทุกครั้งก่อนออกเดินทาง

ความเสื่อมของดอกยาง

เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ดอกยางจะเสื่อมลงไปตามอายุการใช้งาน แต่การตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่าดอกยางเสื่อมแบบเท่ากันหรือไม่ จะช่วยให้คุณปลอดภัยบนท้องถนน การตรวจสภาพดอกยางทุกๆ เดือน จะทำให้คุณรู้ว่าเมื่อไรที่คุณต้องการยางใหม่แล้ว

เมื่อไร เดือนละครั้ง

จุกลมยาง

อีกชิ้นส่วนนึงที่มีความสำคัญกับยางของคุณคือ จุกลมยาง ที่ต้องปิดให้สนิท ซึ่งก็เหมือนกับส่วนอื่นๆของยาง มันอาจจะเสื่อมไปตามกาลเวลา และอาจจะเกิดการรั่วได้ ดังนั้นเมื่อคุณเปลี่ยนยางใหม่ อย่าลืมเปลี่ยนจุกลมยางด้วย

เมื่อไร ทุกครั้งที่เปลี่ยนยาง

การตั้งศูนย์

การที่ยางไม่ได้รับการตั้งศูนย์จะทำให้เกิดการเสื่อมของดอกยางเร็วยิ่งขึ้นและไม่เสมอกัน ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยของคุณ การตั้งศูนย์ทุกๆ ครั้งที่คุณเอารถเข้ารับบริการที่ศูนย์ จะช่วยให้การเดินทางของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น

เมื่อไร ทุกๆ ครั้งที่เอารถเข้ารับบริการ

การถ่วงล้อ

การนำรถเข้าถ่วงล้ออย่างสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันการเสื่อมของดอกยางแบบไม่เท่ากัน อีกทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของยางของคุณอีกด้วย และเพื่อช่วยให้คุณประหยัดไปอีกนาน

เมื่อไร ทุกๆ 5,000 กม. และทุกๆ 10,000 กม.


ชื่อผู้ตอบ:

Visitors: 2,204,404